วิธีแก้ไขอาการขาโก่งเบื้องต้น
อาการขาโก่ง (Bow legs ) คือ อาการผิดปกติของช่วงเข่าทั้ง 2 ข้าง ที่โค้งแยกออกจากกันในขณะที่ยืนเท้าชิด มักจะพบได้ทั่วไปในเด็กอายุต่ำกว่า 18 เดือน โดยทั่วไปแล้ว อาการจะดีขึ้นหรือหายเป็นปกติเมื่อเด็กเริ่มยืดขาได้และหัดเดิน ซึ่งไม่จำเป็นต้องรับการรักษา แต่ในบางครั้งอาการขาโก่งก็อาจเป็นสัญญาณของการเจ็บป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ
หากมีอาการขาโก่งในระยะยาวแล้วไม่ได้รับการรักษา ก็อาจนำไปสู่ภาวะข้ออักเสบบริเวณหัวเข่าและสะโพกได้เช่นกัน อีกทั้งยังเรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่ทำให้ใครหลายคนเสียบุคลิกภาพไม่น้อย ทำให้เกิดความไม่มั่นใจ โดยเฉพาะผู้หญิง เพราะมีผลกระทบกับการแต่งกายด้วยนั่นเอง
สาเหตุของอาการขาโก่ง โดยธรรมชาติแล้ว ตั้งแต่แรกเกิด ขาของทุกคนจะโก่งมาก่อน จนกระทั่งเมื่อเข้าสู่วัยเด็กเล็ก ขาจะเริ่มตรง ในลักษณะที่บางคนอาจถึงขั้นเข่าเข้ามาชิดกันก่อนส้นเท้า และเมื่อย่างเข้าสู่วัยเด็กโตขาก็จะเริ่มกลับมาตรงอีกครั้ง จนถึงช่วงวัยรุ่น องศาของขา ก็จะเป็นไปตามลักษณะทางพันธุกรรมของแต่ละคน ถ้าสังเกตในเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็ก จะมีบางกรณีคุณแม่หลายคนพยายามดัดขาลูกตั้งแต่เด็ก หรือหลีกเลี่ยงการอุ้มลูกเข้าบั้นเอว เพราะมีความเชื่อว่าช่วยป้องกันอาการขาโก่งได้
อย่างไรก็ตาม ในทางการแพทย์ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่เป็นความจริง อีกทั้งยังพบว่า คนที่ขาโก่งไม่ได้มีสมรรถนะในการวิ่งหรือการออกกำลังกายด้อยกว่าคนขาตรงแต่อย่างใด นอกจากนี้ อาการขาโก่งยังมีสาเหตุอื่นอีก นั่นคือ ปัญหาสุขภาพอย่างหนึ่ง และมีหลากหลายสาเหตุที่เป็นไปได้ เช่น เกิดจากระดูกขาที่งอผิดรูปตั้งแต่ช่วงวัยเด็ก ตลอดจน สาเหตุจากโรคต่างๆ ที่ส่งผลให้กระดูกมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ เช่น การพยาธิสภาพของกระดูกที่หัวเข่า การใช้งานข้อเข่ามาก โรคข้อเข่าเสื่อม เหล่านี้เป็นต้น
การรักษาอาการขาโก่งเบื้องต้น แบบไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัด
1. ยืนตัวตรงหลังชนกำแพงหรือผนังให้ศีรษะ หลัง ขา เอว ข้อเท้าชิดกำแพงมากที่สุด พยายามอย่าให้มีช่องว่าง จากนั้นแยกปลายเท้าออก ให้ระยะทำมุมประมาณ 45 องศา
2. ใช้ฝ่ามือนาบที่เอวด้านหลัง ซึ่งเป็นระยะที่เอวกับผนังห่างกัน ให้ยืนทำตามขั้นตอนแบบนี้ทุกวัน วันละ 5 นาที อย่างน้อย 3 ครั้ง ต่อวัน และขอแนะนำให้ทำเป็นเวลาต่อเนื่อง 1 สัปดาห์ จะเริ่มเห็นผลเปลี่ยนแปลง และหากทำต่อไปเรื่อยๆจะช่วยให้ขาค่อยๆโก่งได้ในระดับหนึ่ง
ให้นั่งหลังตรง เหยียดขาไปข้างหน้าแล้วหันส้นเท้าเข้าหากัน จากนั้น วาดเท้าเข้า-ออกพร้อมทั้งนับจำนวน 15 ครั้ง เป็น 1 เซต ควรทำอย่างน้อยครั้งละ 3 เซต และทำต่อเนื่องทุกวัน ก็จะช่วยในเรื่องรักษา อาการขาโก่ง ได้เช่นกัน
2 วิธีที่แนะนำไปนี้ เหมาะกับผู้ที่มี "อาการขาโก่ง" ไม่มากนัก และถือเป็นการบริหารร่างกายเพื่อปรับบุคลิกภาพด้วย ถ้าสามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยรักษา อาการขาโก่ง เล็กน้อยได้
วิธีการนี้ สามารถทำได้โดยใช้ผ้าหรือสายรัด มารัดที่ขาของผู้มีอาการขาโก่ง สำหรับการใช้สายรัดแก้ขาโก่ง หรือเข็มขัดรัดแก้ขาโก่งนั้น โดยที่สามารถทำได้จะใช้สายรัด 3 เส้น รัดตั้งแต่รัดต้นขา รัดน่อง และรัดเหนือข้อเท้า โดยแต่ละรอบเวลาไม่นานประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้ข้อและกระดูกมีการเรียงตัวได้แนวระดับและชิดเข้าหากันมากขึ้น วีธีใช้สายรัดแก้ขาโก่ง เข็มขัดรัดแก้ขาโก่งนี้ อาจใช้ได้ผลในกรณีที่ผู้มีอาการขาโก่งอายุไม่มาก และไม่มีอาการขาโก่งมาก หรือเด็กที่มีอาการขาโก่ง เช่น ขาโก่งจากการเป็นโรคเบล้า (Blount Disease) ซึ่งพบมากในส่วนใหญ่เป็นเด็กอ้วน โดยเชื่อว่าน้ำหนักตัวที่มากเกินไป
จากวิธีการทั้ง 3 วิธีการข้างต้น หากสามารถทำได้และปรับร่างกายให้เข้าสู่ภาวะปกติได้จะถือเป็นการแก้ขาโก่งได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าเป็นในลักษณะอาการที่มากกว่านี้ หรือลองทำแล้วก็ยังไม่ได้ขึ้น ก็คงต้องไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาจะดีที่สุด
สรุป อาการขาโก่ง เป็นอาการที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ซึ่งผลกระทบที่ตามมาคือ เรื่องของบุคลิกภาพในการยืนและเดิน ที่ส่งผลไปถึงความมั่นใจในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะเมื่อมีอาการขาโก่ง การสวมใส่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็ดูจะยุ่งยากตามไปด้วย ในกรณีที่มี อาการขาโก่ง ไม่มากนัก กายบริหารและการออกกำลังกายอาจช่วยได้ แต่ถ้าเป็นอาการขาโก่งจากโรคภัยไข้เจ็บ ปัญหาสุขภาพ ก็ต้องใช้การรักษาทางการแพทย์เข้ามาช่วยจึงจะได้ผลมากที่สุดนั่นเอง