อาการขาโก่ง แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
ในเด็กแรกเกิด ส่วนใหญ่จะพบ อาการขาโก่ง ได้ในช่วงอายุต่ำกว่า 18 เดือน เนื่องจากเด็กต้องนอนอยู่ในท่าขดตัวในครรภ์มารดาเป็นเวลานานก่อนคลอด แต่เมื่อเติบโตขึ้นและเริ่มมีพัฒนาการไปตามวัย อาการขาโก่ง ก็จะหายไปเพราะขาจะยืดเหยียดตรงตามอายุที่มากขึ้น แต่ถ้าในกรณีที่เด็กยังคงขาโก่งอย่างต่อเนื่องจนอายุถึง 2-3 ปี อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงอาการเจ็บป่วยด้วยภาวะอื่น ๆ วิธีที่ดีที่สุดคือผู้เป็นพ่อและแม่ควรพาเด็กไปตรวจเช็คอาการและขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ตัวอย่างเช่น กระดูกพัฒนาผิดรูป กระดูกแตกหรือหัก แล้วไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง หรือเป็นโรคที่เกี่ยวกับกระดูก ได้แก่
- โรคเบล้าท์ (Blount’s Disease) อาการคือ กระดูกหน้าแข้งจะโก่งออก พบได้มากในเด็กที่มีภาวะอ้วน ในกลุ่มประเทศแอฟริกัน-อเมริกัน
- โรคกระดูกอ่อน (Rickets) โรคนี้มาสาเหตุมาจากภาวการณ์ขาดวิตามินดี ส่งผลให้กระดูกไม่แข็งแรง เปราะ และแตกหักได้ง่าย จนทำให้ขาโก่งได้
- โรคพาเจท (Paget’s Disease) สาเหตุมาจากความผิดปกติในกระบวนการสร้างและสลายกระดูก เป็นผลให้กระดูกที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ไม่แข็งแรง และทำให้เกิดอาการขาโก่ง อีกทั้งปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามข้อต่อกระดูกได้ ซึ่งโรคนี้มักพบได้มากในผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงความผิดปกติของกระบวนการเจริญเติบโตของกระดูก ทำให้ร่างกายเตี้ยแคระหรือแคระแกร็น และอาจมี "อาการขาโก่ง" เกิดขึ้นร่วมด้วยเมื่อโตขึ้น
ในกรณีที่อาการขาโก่งของเด็กไม่ดีขึ้น แม้ว่าจะใช้อุปกรณ์ช่วยดามแล้ว แพทย์อาจจะเลือกใช้วิธีผ่าตัดกระดูกบริเวณดังกล่าวเพื่อแก้ไขและป้องกันไม่ให้ขาโก่งรุนแรงขึ้นอีก สำหรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป
หรือในส่วนของโรคกระดูกอ่อน หากการรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล ผู้ป่วยโรคกระดูกอ่อนที่มีอาการขาโก่งก็อาจต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อแก้ไขกระดูกเช่นกัน
โดยขั้นตอนวิธีการหลัก ๆ ในการผ่าตัดรักษาขาโก่ง มี 2 รูปแบบ ได้แก่
- การผ่าตัดชักนำการเจริญเติบโตของกระดูก จะเป็นการผ่าตัดหยุดการเจริญเติบโตของกระดูกในด้านที่เจริญเติบโตปกติ เพื่อให้กระดูกด้านที่ผิดปกติได้มีโอกาสเจริญเติบโตและได้ยืดกระดูกขาออกไป เพื่อรักษาและลดปัญหาอาการขาโก่งในที่สุด
- การผ่าตัดดัดกระดูกเข่า แพทย์จะตัดกระดูกหน้าแข้งบริเวณใต้เข่าแล้วปรับแต่งให้ได้รูป จากนั้น กระดูกจะค่อย ๆ สมานตัวอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
หลังการผ่าตัด แพทย์จะใส่เฝือกไว้ในระหว่างที่กระดูกกำลังฟื้นฟู ผู้ป่วยอาจต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงเดินในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก ระหว่างที่พักฟื้น โดย แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยทำกายภาพบำบัดและออกกำลังกายไปด้วย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและกระตุ้นการเคลื่อนไหวของร่างกาย
· แนวทางและวิธีป้องกันอาการขาโก่งเบื้องต้น
- พ่อและแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์ผู้ดูแลเป็นระยะอย่างน้อยทุก ๆ 6 เดือน ตั้งแต่แรกเกิด เพื่อตรวจสุขภาพ ความแข็งแรง และความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กหลังคลอด
- ควรดูแลเด็กไม่ให้เกิดภาวะขาดวิตามินดี ซึ่งจะนำไปสู่การป่วยโรคกระดูกอ่อนและเสี่ยงเกิดอาการขาโก่งได้ ด้วยการให้เด็กรับประทานอาหารที่มีโภชนาการ มีวิตามินดีในปริมาณที่เหมาะสม หรือให้เด็กสัมผัสกับแสงแดดในช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากกระบวนการสังเคราะห์วิตามินดีสามารถเกิดขึ้นได้จากการรับแสงแดด
ดังนั้นหมั่นคอยสังเกตพบความผิดปกติที่เกิดขึ้น หากสงสัยว่าเด็กอาจจะมี อาการขาโก่ง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา โดยเฉพาะในเด็กที่อายุเกินกว่า 2 ปีแล้วอาการขาโก่งยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการขาโก่งที่รุนแรงขึ้น เพราะการตรวจวินิจฉัยอาการแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้แพทย์สามารถทำการรักษาได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิผลทางการรักษาเพิ่มมากขึ้น